วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ธุรกิจเครือข่ายให้เกินกว่าที่คิด

ธุรกิจเครือข่ายให้เกินกว่าที่คิด
 
       หลายคนเมื่อมีใครหลายคนมาชวนหรือพูดถึงธุรกิจเครือข่าย จะไม่เชื่อหรือคิดในแง่ลบเสียส่วนมาก ว่าจะมาชวนไปขายของบ้าง หรือไม่ก็จะชวนไปประชุม ซึ่งหลายคนไม่เชื่อและไม่ต้องการพบเจอเรื่องพวกนี้ แต่สำหรับตัวผมเอง เป็นคนที่กำลังทำธุรกิจเครือข่าย ผมก็ขอนำเสนอแนวคิดสำหรับตัวผมเองในการทำธุรกิจเครือข่ายของผม   สิ่งหนึ่งที่ผมตัดสินใจในการทำธุรกิจเครือข่ายคือ ผมมีโอกาสที่จะมีเงินมากกว่าที่ผมทำอยู่กับงานประจำ เพราะตัวผมเองนั้นมีภาระทางครอบครัวต้องเลี้ยงดูคนหลายชีวิต ถ้าหากวันนี้ผมทำงานประจำอย่างเดียวรับเงินหมื่นบาท กว่าผมจะมีเงินมากพอก็ต้องใช้เวลาพอสมควร และที่สำคัญถ้าหากผมเกิดเสียชีวิตไป คนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ผมยังเชื่อว่าผมทำงานทั้งสองที่พร้อมกันยังไม่หนักเท่ากับคนที่ทำงานกลางแดดร้อน ๆ เลย เขาทั้งขยันและอดทนส่วนผมนั่งทำงานในห้องแอร์สบาย ๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการทำให้ตัวเองทำงานอื่นไปอีก  ผมเห็นคนรอบตัว คนที่ทำงานก่อนผมทุกคนมีความสุขเมื่อมีเงินเดือนและแห้งเหี่ยวเมื่อไม่มีใช้ ถึงคนทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่มีความฝันอะไร ผมคิดว่าถ้าเราปล่อยตัวเป็นเช่นนั้น เราก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ 
       

     ในการที่ผมจะชวนใครเข้ามาทำธุรกิจ ผมชวนทุกคนแต่ผมไม่ได้รับทุกคน ผมยอมรับว่าผมเห็นแก่ตัวมาก ถ้าผมเห็นว่าเขาขาดสิ่งที่ควรมีในการทำงานธุรกิจเครือข่าย ผมจะบอกเขาตรงว่าคุณยังไม่เหมาะ ถ้าสนใจจริงก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเล็ก ๆ น้อย ที่สำคัญผมไม่เคยขอโอกาสใคร ผมให้โอกาส ฉะนั้นผมก็จะได้ทำงานกับคนทีคิดเหมือนกันทำเหมือน

   คุณคิดเหมือนผมไหม ขยันผิดที่สิบปีก็ไม่รวย ขยันถูกที่ตัดสินใจถูกเวลาไม่ถึงปีก็รวย
 ถ้าคุณไม่เชื่อคำพูดนี้คุณไปดูเศรษฐีระดับโลก  หลายคนใช่เวลาในการสร้างความร่ำรวยไม่ถึงสามปี มากสุดก็ห้าปี ผมบอกได้เลยว่าเขาใช้เครื่องมือได้ถูกต้องก็เลยทำให้ประสบความสำเร็จ 

 แต่ความคิดหนึ่งที่เคยมีกับผม ถ้าเราขยันและอดทน และมีความสามารถที่โดดเด่ดอย่างไรเราก็ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน ความคิดผิดมันอยู่กับผมแบบนี้มันก็ััยังอยู่กับผม คนที่จบเกียรนิยมคณะรัฐศาสตร์ก็ยังสอบไม่ติดนายอำเภอเลย คุณคิดว่ามันเป็นเพราะเขาไร้ความสามารถหรือบุญไม่พอ เปล่าเขาไม่มีเส้น นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า "ความสามารถที่ไร้โอกาส ย่อมเป็นความสูญเปล่าในชีวิต" เป็นคำกล่าวของ เดล คาร์เนกี แล้วคุณละเห็นด้วยไหม 

ผมเขียนไปเรื่อยเล่าเรื่อย ไม่ว่ากันนะครับ